ผู้ที่กำลัง online | ผู้ที่ online ทั้งหมด 39 คน :: ลงทะเบียน 0 คน, ซ่อน 0 คน และ 39 ผู้มาเยือน (ไม่มี) มีผู้ใช้ online พร้อมกันสูงสุด 503 คน เมื่อ Fri Oct 22, 2021 1:00 am |
Statistics | สมาชิกทั้งหมด 5533 คน สมาชิกล่าสุดคือ BR10
Post ทั้งหมด 7481 หัวข้อ in 554 subjects
|
feeds | |
|
| เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม | |
|
+163kasidit9 corundum POSTER1989 golflv200 taebassi winds komario topalongkorn cotton11 poteen maskuull02 tonzoneza10 BlackHand prenzaa001 romanus lashazong Aristotleve pomman nugt koyoty pijuk2538 kokokr1 Thunderb0 Sys_Rq NekoEvageil CoOkie timegun SPQR ROCHINO ridertannawi palahot icenorea Ogoshi 5655829 dada039 agrippa Thanakarn seoohyes aun angelpooza studiox huk GiSZero mp10069465 theaop001 Werldklass tokyo1991 doxx armtanapol nbbr77 Jase katg1997 beartakeshi janeloveice sixout ja21260 cakeza5555 wrathmaker Nattapol mikeken007 uknowkung asupaump mastercool pichanza beer1003 Cooper jelarpong yinyang takamurasan chawanwit NampuZoldyg hotgunbeekso teeoon41 MeSSioz_MLN benzene uppad SKSoda tiwakorn allaliez37 pippokung ketsu jangza007 san54321 sotheysay mkkid nutnut2233 Peacock Onlyf smalleye waga yashamaru Veneros tempmissky patnan11 sosroong vanzaaa lnwmorana atts45 darkz armpawin poomzaa11 noobkiller 5552520000 kawaiioz aunza4701 arah sunny747 boonpien TimeStop xXCllcoachXx opas1122 ghost1004 KraroS iccoach123 nongstk psychosis wolfer Kontammada thiranai streetbas bososai chanvit WerthOfArk cacarot52 Rerosmo sayaka_girl sunligth kidvanza ham_chatsang tumloves Gongjin plantiz Galamoth 0fcaa03b Joker_thailand momomomomomomo barabossa neverending QWERTY15780 wasawat08 porichi Graybackson itou UP onion2005 good nimitr sushiman changspinboy1 plammime nonte nutdullest insiy ibik big87 Rapyoo dokapon MeeLP Tonao Sunshine steviegear The Muteki NekoEater 167 posters | |
ผู้ตั้ง | ข้อความ |
---|
NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:29 pm | |
| แปลโดย P_Hmee - อ้างอิงจาก :
P_Hmee :
ได้ครับ แต่คาดว่าโปรเจคอาจจะต้องพักไปยาวเลยล่ะครับ อาจจะค่อยๆแปลบทต่อๆไปไปเรื่อยๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่เหมือนกันครับ
บทความนำไปใช้ได้ครับ ลงเครดิตให้หน่อยก็พอแล้วครับ BATTLE REALMS อาณาจักร เพลิงสงคราม แปล เรียบเรียง โดยพี่หมี www.vagabondteam.comOriginal Story จาก http://battlerealms.strategyplanet.gamespy.comคำนำ สวัสดีครับทุกๆคน หลังจากที่เคยเสนอโปรเจ็คเนื้อเรื่องของเกม Bettle Realms ให้ทุกๆท่านได้ชิมลางไปเมื่อเดือนก่อน วันนี้ก็ได้เวลาลงบทความครั้งแรกในซีรี่ย์ Bettle Realms: อาณาจักรเพลิงสงคราม กันซะที ต้องขออภัยที่ปล่อยให้รอนานนะครับ ก่อนอื่นคงต้องกล่าวก่อนว่า เนื้อหาในบทความนั้นแปลและเรียบเรียงมาจากเนื้อเรื่องจากเว๊ปไซด์ดังกล่าว ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นจะกล่าวถึงเรื่องราวก่อนที่เรื่องราวในเกมจะเกิดขึ้น เรียกว่าเหมือนเป็นประวัติศาสตร์ของเกมก็ว่าได้ครับ และเนื่องจากว่าเนื้อหานั้นเป็นเหมือนเรื่องเล่า เหมือนเราอ่านบทความประวัติศาสตร์จึงไม่มีคำพูดของตัวละครใดๆ ต้องกล่าวไว้ก่อนหากใครที่คิดว่าบทความจะเป็นในรูปแบบนิยายนะครับ แต่ผมวางแผนไว้ว่าจะแปลและเขียนไปจนจบ โดยเนื้อหาประวัติทั้งหมดนั้นจะมี 12 บท โดยผมจะแบ่งออกเป็นตอนละ 4 บท นะครับ และหลังจากนั้นถ้ามีเวลาและกระแสตอบรับยังไง ผมก็กะว่าจะแปลเนื้อหาในเกมด้วย ซึ่งถ้าถึงตรงนั้นก็จะเป็นเนื้อเรื่องแบบนิยายเลยคือมีบทสนทนาด้วย แต่ยังไม่ยืนยันนะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Tue May 02, 2017 5:23 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:29 pm | |
| อารัมภบท
สะเก็ดไฟเพียงน้อยนิด ลามทุ่ง ควันทมึนปลิวครุกรุ่น ดินแดน ............
เป็นเวลานานมาแล้ว นานก่อนที่ยุคสมัยของ บิดา หรือ ปู่ย่าของพวกเราจะเริ่มต้น ดินแดนแห่งนี้นั้นเคยเป็นดินแดนที่รวมกันเป็นปึกแผ่น.....
ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยหุบเขาที่ทอดยาวและป่าไม้อันเก่าแก่ ผู้คนที่อาศัยอยู่นั้นมีความหลากหลายและแปลกประหลาด บางพวกนั้นเดินทางข้ามมหาสมุทรมาด้วยเรือจากดินแดนอื่น และปักหลักรกรางลงที่นี่ บางพวกก็เป็นพวกที่ลงมาจากหุบเขาอันสูงชัน ผู้ซึ่งสามารถร่ายนามของบรรพบุรุษย้อนไปได้ไกลก่อนประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ แม้ว่าสงครามจะคงเกิดขึ้นเป็นนิต แต่ ความสงบสุข นั้นเป็นกฏซึ่งยึดถือและเชื่อกันว่า ความสงบสุขนั้นจะก่อให้เกิดความแข็งแกร่งและความอุดสมบูรณ์
และนั่นเป็นช่วงเวลาอันเกรียงไกร และเป็นยุคสมัยแห่ง Dragonholm อันเป็นที่ตั้งของ "สำนักมังกร" รูปสลักที่ถูกลืมเคยถูกประดับไว้ตามผนัง ชาวพื้นเมืองเคยเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง โชกุนในสมัยนั้นควบคุมและปกครองโดยใช้ทั้งความ เข้มงวด และ ยุติธรรม ปรมจารย์ต่างฝึกฝนนักรบให้มีทั้งไหวพริบและความร้ายกาจ แม้แต่เหล่านักปราชญ์ ต่างก็เขียนบันทึกไว้อย่างภูมิใจบนแผ่นหนังที่ประทับไปด้วยทองว่า ความแข็งแกร่งและเกียติภูมิของมังกรนั้นจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร
.... แต่แล้ว, ในช่วงเวลาของปีหนึ่ง ช่วงเวลาหว่านเมล็ดพันธ์หนึ่ง ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายหนึ่ง..... ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป
ไม่มีผู้ใดร่วงรู้ว่าพวกมันคืออะไร ปิศาจ ภูติผี หรือว่าสัตว์ร้าย ไม่มีผู้ใดทราบจวบจนปัจจุบัน พวกมันมากันเป็นฝูงดำทมึน และไม่ใช่มนุษย์ พวกมันปรากฏกายขึ้นในแผ่นดินเลยเขตแดนห่างออกไปทางตอนเหนือ ที่ใดที่หนึ่งในหุบเขาซึ่งไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ ทุกแห่งที่พวกมันผ่านไปนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือ แม้แต่ต้นไม้ต่างเหี่ยวแห้งและล้มตาย ไม่มีผู้ใดเหลือรอดที่จะฝังศพให้กับผู้อื่น.....
Tarrant ท่านผู้เฒ่าซึ่งปกครอง Dragonholm ในช่วงเวลานั้นไม่ใช่ผู้ขลาดเขลา เมื่อข่าวการคุกคามของกองทัพแห่งเงามืดเข้าถึงหู เขาจึงได้ส่งยอดซามูไรควบขี่อาชาออกไปต่อกรกับพวกมันในรุ่งอรุณแรกนั้น เหล่าผู้กล้ามากมายหลายหลายร้อยภายใต้ธงตรามังกรอันโบกสบัดเข้าต่อกรกับ กองทัพแห่งเงามืดนาน สองสัปดาห์ ก่อนที่จะมีนักรบผู้หนึ่งเหลือรอดกลับมา ในสภาพย่ำแย่สลบอยู่บนอานม้า เขาควรจะตายไปแล้ว แต่อาชาของเขานั้นหลบหนีออกมาไกลและรวดเร็ว ไกลและรวดเร็วเพียงพอที่จะหลีกพ้น ชะตาของผู้ขับขี่มัน Tarrant รู้สึกได้ในทันทีว่าความหวังเดียวในการอยู่รอดของสำนักมังกรนั้น คือการเป็นเช่นดั่ง อาชาตัวนั้น....
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้น กำแพงแห่ง Dragonholm กำแพงซึ่งไม่เคยล่มสลายให้กับสิ่งใด ได้ถูกละทิ้งไปในที่สุด เหล่าสำนักมังกรได้เคลื่อนพลไปทางทิศใต้ หลังจากการเดินทางอันไม่จบสิ้นพ่านไปหลายเดือน กองทัพม้าที่เดินทางกันอย่างเป็นระเบียบหลายแถวแนว เกวียนลำเลียงเสบียง และเหล่าผู้หลบหนีนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผู้ซึ่งยังคงเชื่อในศักดิศรีของสำนักว่ายังไงก็ไม่มีทางหลบหนีศัตรู แม้จะรู้ว่าพ่ายแพ้ก็ตาม เหล่าผู้ที่เลือกที่จะอยู่เพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิดด้วยความทรนง ไม่มีผู้ใดได้ข่าวจากพวกเขาอีก แม้ว่าหน่วยสอดแนมจะถูกส่งกลับไปทางเหนือเพื่อสืบข่าว แต่ก็ไม่เคยมีใครรอดกลับมา เหล่าผู้บูชามังกรยังคงต้องเดินทางลงใต้ต่อไป
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 3:59 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:31 pm | |
| หกเดือนพ่านพ้นไป หลังจากข้ามยอดเขายอดสุดท้าย ที่เบื้องหน้าคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไม่มีที่ให้เหล่ามังกรหลบหนีอีกต่อไป
Tarrant ผู้เฒ่าได้มองเห็นปัจจุบันที่เป็นอยู่ ก่อนหน้านี้แล้ว และได้จัดแจงให้เหล่าลูกศิษฐ์ค้นหาทางรอดสำหรับผู้ติดตามทั้งหลาย พวกเขาเคยมีเวลามากมายที่ใช้ ถกเถียง และ โต้แย้งกันระหว่างการเดินทางที่ผ่านมา แต่ ณ เวลานี้นั้นไม่มีเวลาเหลือพอที่จะต่อเรือ และไม่มีที่ให้หลบซ่อนอีกต่อไป กองทัพหลักแห่งสำนักมังกรก็ได้พ่ายแพ้ และทอดร่างภายใต้ฝุ่นละอองที่กองทัพแห่งเงามืดเคลื่อนผ่านไปแล้ว
ความหวังสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่สำหรับ Tarrant นั้นเก็บซ่อนอยู่ภายในหีบเงินที่ถูกล็อกเอาไว้ในเกวียนสำภาระส่วนตัวของเขา มันคือ Serpent Orb หรือลูกแก้วพญางู สมบัติ อันเก่าแก่ที่สุดของสำนักมังกรรวมถึงเป็นตราสัญลักษณ์ของผู้นำสำนัก อีกด้วย บางตำนานยังกล่าวไว้ว่าลูกแก้วนี้สามารถเรียกวิญญาณของมังกรให้ปรากฏได้ หากว่าผู้นั้นมีความต้องการที่ยิ่งใหญ่เพียงพอ
บางคนก็เชื่อ ตำนานดังกล่าวนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้อำนาจของมังกรนั้นต้องแลกมาซึ่งบางสิ่งอันไม่อาจเทียบ ค่าได้ ชีวิต? มิอาจมีผู้ใดรู้
Tarrant ได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของตนให้กับ บุตรชาย หลังจากนั้น เขาได้ปักหลักยืนอยู่กลางเส้นทางเพียงผู้เดียว เพื่อพิสูจน์ตำนานดังกล่าวนั้นหรือ? หรือเพื่อความตายกันแน่
วินาที และลมหายใจสุดท้ายที่วีรบุรุษนาม Tarrant นั้นคงอยู่บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีผู้ใดเห็นหรือล่วงรู้ เรารู้แต่เพียงว่าเขาทำสำเร็จ เหล่าผู้หลบหนีต่างได้บยินเสียงคำรามกึกก้องของมังกร ในขณะที่กระแสลมแรงต่างกระแทกเข้าใส่ผู้คน ม้า เกวียน ให้หมอบลงกับพื้น ทุกหนแห่ง พื้นดินเหมือนจะบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน ผู้หลบหนีส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตมาได้จนถึงจุดนี้ต่างทอดกายอยู่ภายใต้กองหิน ที่ถล่มลงมาจากหุบเขา หรือไม่ก็หายไปกับเงามืดของหุบเหวอันเกิดจากการที่พื้นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนที่เหลือรอดต่างเกาะกลุ่มกันเพื่อสวดอ้อนวอนให้ปลอดภัย
หลังจากแผ่นดินไหวสงบลง เหล่าผู้รอดชีวิตจากเพลิงพิโรธของเทพเจ้ามังกรต่างก้าวขาไม่ออกเนื่องจากความกลัว สำหรับ Tarrant ผู้น้อยนั้น ต้องใช้ความกล้าที่มีอยู่ในตัวทั้งหมด เพื่อรวบรวมและเริ่มสั่งการให้สร้างที่พักจากเศษซากแห่งความพิโรธนี้ และหากกองทัพแห่งเงามืดบุกมาถึง พวกเขาก็จะไม่มีอะไรไปต้านทานพวกมันได้อีก
.......... แต่พวกมันก็ไม่เคยปรากฏกายขึ้นอีกเลย
หลัง จากนั้นเป็นต้นมา Tarrant ผู้น้อย ผู้ซึ่งต้องใช้ชีวิตอยู่บนซากของบรรพบุรุษก็ได้เข้าใจว่า ไม่มี มังกร อีกต่อไปแล้ว เขาล่วงรู้ผ่านแววตาของเด็กๆ ผู้ซึ่งต้องละทิ้งบ้านเกิดให้กับเหล่าปิศาจร้าย ผ่านท่วงท่าของเหล่านักรบผู้ซึ่งทราบชะตากรรมของสหายที่เลือกจะสู้ มากกว่าหลบหนีเยี่ยงนี้ พวกเขาต่างอาศัยอยู่บนโลกนับจากนี้ มิใช่สวรรค์ดั่งเช่นเคย แม้ว่าเวลาจะช่วยทำให้พวกเขากลับมาห้าวหาญดั่งเคย และคงไม่นานนักที่พวกเขาจะภาคภูมิใจในดินแดนแห่งใหม่นี้ ไร้ซึ่งความอับอายและความสิ้นหวังทั้งหลายนี้
ในที่สุด "สำนักพญางู" สำนักของพวกเราก็ได้กำเนิดขึ้น
ใน ปัจจุบัน หากท่านเดินทางขึ้นไปทางเหนือผ่าน หุบเขา ท่านจะพบกับหน้าผาสูงชัน ด้านล่างเต็มไปด้วยวังน้ำวน และโขดหิน ในวันที่ฟ้าเปิด ท่านอาจจะมองเห็นชายฝั่งของแผ่นดินที่อยู่ตรงข้าม แต่โดยปกติแล้วฝั่งตรงข้ามนั้นจะซ่อนตัวอยู่ใต้หมอกหนา พลังพิโรธของ มังกรในครานั้นได้แบ่งแยกดินแดนออกเป็นเสี่ยงๆ เช่นเดียวกับแบ่งแยกผู้คนของเรา ดินแดนของบรรพบุรุษนั้น ได้หลับไหลอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่มีวันจะผ่านน้ำวน กลับไปได้อีกตลาดกาล เหล่ากองทัพแห่งเงามืดจะยังคงเฝ้ารอพวกเราอยู่ที่นั่นหรือไม่ ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้
พวกเราต่างค่อยๆลืมเลือนมันไปผ่านวันเวลา และดินแดนนี้คือบ้านของพวกเราแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 4:00 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:31 pm | |
| บทที่ 1: การดิ้นรนของ Tarrantการ เดินทางอันแสนยาวนานเพื่อความอยู่รอด หรือว่านี่เป็นแค่การชะลอความตาย ที่สุดท้ายยังไงก็หนีไม่พ้นมันอยู่ดี Tarrant ตระหนักขณะกำลังย่างก้าวบนเนินที่ทอดยาวขึ้นสู่ยอดเขา เป็นเวลาหลายวันแล้วที่พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าค่อยๆยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับบอกเป็นนัยว่ายังไงพวกเจ้าก็ไม่สามารถทำสำเร็จ เหล่าผู้ติดตามและม้าต่างก็อ่อนเพลียกับการเดินทางอันแสนยาวนานเพื่อลงสู่ทิศใต้ ซึ่งพวกเขาก็มิอาจแน่ใจได้เช่นกันว่าความหวังในการมีชีวิตรอดจะอยู่ที่ปลาย0ทางนั้นจริงหรือไม่ Tarrant และเหล่าลูกศิษฐ์สำนักรวมไปถึงผู้ติดตามต่างๆได้ข้ามผ่านเขตแดนซึ่งเคยมีคน สำรวจเอาไว้ได้พักใหญ่แล้ว ดังนั้นทุกๆวันพวกเขาจึงได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆทั้ง หนองบึง หุบเขา และหนองน้ำที่กั้นขวางซึ่งทำให้พวกเขาต้องเดินทางอ้อมมันไปอย่างเสียมิได้ และที่สำคัญก็คือการพยายามเดินทางล่วงหน้าก่อนที่ผู้ไล่ล่าจะตามมาทัน ดูเหมือนว่าการเดินทางนี้อาจจะไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้ แต่ในขณะนั้นเองหน่วยสอดแนมก็กลับมาพร้อมกับรายงานว่า มีบางอย่างที่เขาต้องดูกับตาตนเองให้ได้ และในที่สุดที่เบื้องหน้าคือทะเลอันกว้างใหญ่ การเดินทางลงใต้คงต้องสิ้นสุดลงแค่นี้และไม่มีที่ให้พวกเขาหนีอีกต่อไป หรือจะตัดสินใจสู้? สู้ทั้งๆที่ไร้ความหวังว่าจะชนะนั้นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี Tarrant ยังมีไพ่ใบสุดท้ายที่ยังคงเก็บมาจนถึงตอนนี้ เป็นการพนันด้วยชีวิตครั้งสุดท้าย แต่หากมันล้มเหลวแล้วละก็ สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่ลูกชายของเขาว่าจะเลือกสถานที่ตายให้กับพวกของตนที่ตรงไหน Tarrant ยืนอยู่บนยอดเขา ซึ่งทอดยาวซึ่งทอดยาวมาทางตอนใต้ของที่ราบสูง เทือกเขานั้นห้อมล้อมพื้นที่ราบกินพื้นที่ หนึ่งในสี่ของวงกลมเยื้องมาทางตอนใต้ Tarrant มองไกลออกไป ทางด้านซ้ายของเขาคือทิศตะวันออกซึ่งเทือกเขายังคงยกตัวสูงขึ้น ส่วนทางด้านขวาคือทิศตะวันตกนั้นคือหหน้าผาที่ลดระดับลงไป ที่ตรงหน้าคือทิศใต้อันเป็นดินแดนอันเต็มไปด้วยหุบเขาสลับสูงต่ำและทางน้ำ ไหลคล้อยไปตามแนวเทือกเขา ไกลออกไปเขาแลเห็นพื้นที่หนองน้ำ ถัดออกไปนั้นเป็นดินแดนที่ทอดยาวลงไปทางใต้ และที่สุดนั้น เขาแลเห็นทะเล และนั่นคือจุดจบ.... จุดจบของการหลบหนีอันยาวนานนี้ เป็นเวลา 6 เดือนแล้วที่พวกเขาได้หลบหนีจากกองทัพแห่งเงามืด จุดเริ่มต้นนั้นไม่มีสัญญาณเตือนหรือเสียงของอาวุธให้ได้ยินแต่อย่างใด จะมีก็แต่เพียง ความเงียบสงัดอันฉับพลัน ข่าวหรือเสียงซุบซิบจากหมู่บ้านทางตอนเหนือนั้นหยุดชะงักลง ตามมาด้วยข่าวลือและเสียงวิจารณ์ต่างๆเกี่ยวกับเด็กชายซึ่งถูกส่งไปทางเหนือ เพื่อไปอาศัยอยู่กับยายของเขานั้นไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น ตัวแทนซึ่งเดินทางไปต่อรองเรื่องราคาปลากับสำนักเต่าทะเลนั้นไม่ได้ส่งข่าวกลับมา จากนั้นในอีกไม่กี่วันก็ดูเหมือนว่าผู้คนที่เดินทางขึ้นเหนือไปนั้นไม่มีใครกลับมาแต่อย่างใด หลังจากนั้นมีรายงานไปเกี่ยวกับสัตว์ป่าลึกลับสีดำ หมู่บ้านอันว่างปล่าว และแถบชนบทซึ่งถูกทำลาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเผชิญหน้ากับกองทัพแห่งความมืดนี้แล้วรอด ชีวิตมาได้ มีนักรบเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่เดินทางติดตาม Tarrant ซึ่งเคยเห็นกองทัพแห่งความมืดนี้ เหล่าผู้หลบหนีนั้นพยายามเดินทางอย่างรวดเร็ว เร็วจนข่าวและรายงานต่างๆไม่เคยส่งมาถึงพวกเขาได้ทันอีกต่อไป.... สถานการณ์นั้นเริ่มมากระจ่างเมื่อครั้งที่ Tarrant นั้นล่องเรือขึ้นไปทางเหนือของ Frozen Coast และได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ดินแดนนั้นไม่เพียงถูกพิชิตหรือถูกปล้นเท่านั้น แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆนั้นเหมือนจะถูกพรากชีวิต ไม่เหลือแม้กระทั่งต้นไม้เล็กๆซักต้น พวกมันเป็นกองทัพประเภทไหนกัน? ในใจของ Tarrant พลันกังวล จาก นั้นมีรายงานเข้ามาเกี่ยวกับข้าศึกซึ่งไม่ใช่มนุษย์ เหล่านักรบผู้กล้าและอาชาชั้นยอดนั้นต้องสละชีวิตก่อนที่จะสัมผัสถูกตัวพวก มันด้วยซ้ำ ท่านลุงของ Tarrant ขวบขี่อาชาออกไปต่อกรและเสียชีวิตเช่นกัน พวกมันไม่มีการต่อรองหรือเจรจาใดๆทั้งสิ้น พวกมันไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันคืออะไรกันแน่ ผู้คนจึงเรียกมันว่า "กองทัพแห่งเงามืด" พวกมันไม่เคยแพ้ เนื่องจากไม่มีกองทัพใดเพียงพอที่จะต่อต้านจำนวนของพวกมัน จากรายงานพวกมันมีจำนวนหลายหมื่น Tarrant นั้นรับแต่งแหน่งผู้นำของสำนักมังกรมายาวนาน สิบเจ็ดปีหลังจากที่บิดาของเขาได้สิ้นชีพลง เขาเคยเป็นผู้พิทักษ์วัฒนธรรมซึ่งดำรงมายาวนานกว่า เจ็ดร้อยปีแล้วจากประวัติศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา เขาเคยนั่งอยู่ในห้องอาวุธของตำหนักตลอดทั้งคืน คอยโอบอุ้มเกียติยศ แผนการ และชีวิตของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักไว้ด้วยกัน เขาศึกษาตำราซึ่งเขียนขึ้นโดยท่านปู่ของเขา รวมไปถึง บันทึกประวัติศาสตร์ทางทหารแหละหลักปรัชญาต่างๆมากมาย เขายังเป็นนักรบและผู้นำซึ่งไม่มีใครเทียบ แต่ในขณะนั้นเขารู้สถาณการณ์ดี Tarrant ใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงเพื่อค้นหาคำตอบทางจิตวิญญาณ และคำตอบก็คือ สำนักมังกรนั้นต้องละทิ้งดินแดนของตนและหนี หนีให้เร็วเท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้... พวกเขาหนี... กองทัพม้าและเกวียนจำนวนมากรวมไปถึงผู้คนซึ่งรับฟังความเห็นของ Tarrant พวกเขายังพบกับผู้หลบหนีระหว่างทางรวมไปถึงเหล่าผู้คนซึ่งถูกชักจูงให้หลบหนี ผู้คนซึ่งเข้าใจว่าสำนักมังกรนั้นไม่มีวันหลบหนีออกจากดินแดนของตนแน่หากไม่มีเหตุผล สำนักมากมายเลือกที่จะตั้งมั่นเพื่อรักษาดินแดนของตนและพวกเขานั้นต่างควรได้รับการยกย่อง จากนั้นทุกๆสองถึงสามอาทิตย์เหล่าหน่วยสอดแนมกลับมาจากทางเหนือและยืนยันความกลัวของพวกเขาว่า กองทัพแห่งความมืดกำลังเคลื่อนพลลงมาทางใต้.....
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 4:01 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:32 pm | |
| บทที่ 2: ลูกแก้วพญางูขณะ ที่พวกเขาเดินทางลงใต้ สภาพอากาศนั้นค่อยๆอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งเดือนผ่านไปพวกเขาได้ผ่านจุดที่เคยคุ้นเคย การหลบหนีอันยาวนานนั้นทำให้พวกเขาได้รับรู้เรื่องราวตำนานต่างๆอันแปลกประหลาด อย่างเช่นตำนานของชายไร้หัวและหนองบึงซึ่งส่งเสียนหอนในยามค่ำคืน พวกเขายังได้เดินทางผ่านรูปสลักหน้าคนอันแปลกประหลาด ซึ่งสลักอยู่ตรงหุบเขาทั้งสองฟากฝั่งและในยาวค่ำคืน พวกเขายังเห็นแสงไฟวูบวาบที่ยอดเขาไกลออกไปทางตะวันออก หกเดือนผ่านพ้นไป ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางข้ามหุบเขาสุดท้าย ที่เบื้องหน้าคือมหาสมุทร Tarrant มองเห็นมันก่อนล่วงหน้าหลายอาทิตย์แล้ว เวลาในการตัดสินใจนั้นค่อยๆหมดลงเรื่อยๆ เหล่าสำนักมังกรและผู้หลบหนีนั้นไม่สามารถข้ามทะเลเบื้องหน้า หรือหันหลังกลับมาสู้กับศัตรูได้เช่นกัน Tarrant ยังคงยืนอยู่ตรงจุดนั้นเป็นเวลานาน จ้องมองเยื้องไปทางใต้ในขณะที่ตะวันค่อยๆลับฟ้าเหนือดินแดนซึ่งไม่รู้จัก แห่งนี้ ด้วยความเยือกเย็น Tarrant เรียกที่ปรึกษาและบุตรทั้งสองของเขา Tarrant ผู้น้อยและ Ozaku มาที่กระโจมของเขา ที่ซึ่งเขาจะสั่งการณ์ครั้งสุดท้าย สำนักมังกรนั้นต้องข้ามสันเขาเบื้องหน้าไปสู่หุบเขาเขียวขจีและตั้งมั่นที่นั่น ภายใต้การนำของ Tarrant ผู้น้อยซึ่งเป็นบุตรคนโต สถานที่นั้นจะเป็นบ้านแห่งใหม่ของพวกผู้คนและเหล่าลูกศิษย์สำนัก ส่วนตัว Tarrant จะตั้งมั่นอยู่ที่นี่เพื่อเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพแห่งเงามืดเป็นครั้งสุดท้าย เขาและลูกแก้วพญางู ซึ่งตามตำนานเชื่อกันว่าลูกแก้วนั้นสามารถอันเชิญมังกรเพื่อเป็นความหวังสุดท้าย และหากเขาล้มเหลว อย่างน้อยสันเขานั้นก็เป็นสถานที่อันดีที่จะต่อกรกับพวกศัตรู เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะที่เหล่าผู้หลบหนีนั้นต่างค่อยๆก้าวข้ามหุบเขาสุดท้าย Tarrant นั้นแยกตัวออกไปจากครอบครัวและเดินขึ้นไปทางเหนือ เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ในมือนั้นคือความหวังสุดท้ายของสำนักและเหล่าประชาชน ลูกแก้วพญางูนั่นเอง เขาเดินไปจนกระทั่งพบสถานที่อันโล่งและกว้างพอ พื้นหินอันเรียบและทัศนวิศัยที่ดีทอดไปทางเหนือ ที่นั่นเขาได้นั่งลงและรอคอยเพื่อให้ความคิดต่างๆในหัวนั้นสงบลง ท้องฟ้านั้นแจ่มใสมีเสียงนกร้องอยู่ไกลๆ ทอดยาวขึ้นไปทางเหนือนั้นเขาแลเห็นดินแดนสีเทาที่สุดลูกตา ที่ซึ่งเหล่ากองทัพแห่งเงามืดได้ก้าวผ่าน เข้าล่วงรู้ว่า คงไม่มีผู้คนมีชีวิตหลงเหลืออีกแล้วเหนือขึ้นไปจากจุดที่เขาอยู่ ดินแดนที่พวกเขาได้ย่างผ่านมานั้นคงเต็มไปด้วยความว่างปล่าวแล้วในขณะนี้ ตัวเขาเองกลายเป็นที่กั้นสุดท้ายระหว่างเหล่าปิศาจร้ายกับชีวิตที่เหลือรอด ตำนานกล่าวไว้ว่า ลูกแก้วพญางูนั้นได้ถูกมอบให้กับผู้ก่อตั้งสำนักมังกรโดยตัวมังกรเอง ลูกแก้วนี้นั้นไม่มีวี่แววของการสร้างขึ้นด้วยมือของมนุษย์เท่าที่สังเกตุ ตัวลูกแก้วนั้นโปร่งใส ส่วนด้านในนั้นมีพลังงานสีฟ้าหมุนเวียนเหมือนวังน้ำวน ตัวลูกแก้วนั้นช่างงดงามและเรียบง่ายแต่ในขณะเดียวกันภายในลูกแก้วนั้นกลับดูเหมือนเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันน่าประหลาด Tarrant ถือลูกแก้วไว้ในมือข้างหนึ่งในขณะเดียวกันก็เริ่มท่องบทสวดที่ได้รับการสั่งสอนมาจากท่านพ่อของเขาอย่างลับๆ ภาษาของบทสวดนั้นเป็นภาษาโบราณที่มีเพียงบรรพบุรุษของเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ท่านพ่อของเขาอธิบายไว้ว่าเทพมังกรกับลูกแก้วพญางูนั้นมีพันธสัญญาบางอย่างต่อกัน Tarrant ในขณะนั้นมิอาจจะเข้าใจความนัยที่ท่านพ่อของเขากล่าวไว้ได้ เขารู้แต่เพียงว่ามีพลังอำนาจบางอย่างที่ลึกลับซึ่งสามารถอัญเชิญเทพมังกรออกมาได้ และความตั้งใจนั้นก็อาจจะคร่าชีวิตของเขาได้เช่นกัน Tarrant สูดหายใจลึกๆพร้อมกับเตรียมตัวยอมรับความตาย ไม่มีผู้ใดทราบหรือเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น สิ่งที่ผู้คนที่เดินทางลงใต้ไปนั้นได้ประสบมีเพียงเสียงคำรามกึกก้องดั่งฟ้าพินาศ เหล่ากองทัพแห่งเงามืดต่างตื่นตระหนก ผู้คนต่างถูกพลังอำนาจบางอย่างกระแทกให้หมอบลงกับพื้น สภาพอากาศผันแปรอย่างบ้าคลั่ง พื้นดินและสิ่งแวดล้อมต่างๆเหมือนถูกบิดเบี้ยวและกระชากออกจากกัน ภูเขาถูกถล่มลงมาทับผู้คนและสัตว์ต่างๆ และนี่คือทดสอบครั้งสำคัญของ Tarrant ผู้น้อย ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำ เหล่าผู้หลบหนีรวมถึงศิษย์สำนักมังกรต่างมองมาที่เขา อ้อนวอนขอทางรอด ในช่วงอาทิตย์แรก Tarrant ผู้น้อยได้นำทางเหล่าผู้คนลงไปทางใต้ต่อไป ผ่านพื้นที่ชื้นแฉะและอ่าวเล็กๆจนถึงสถานที่ ที่เขาตัดสินใจหยุดและตั้งรกรากเป็นแห่งแรก Tarrant ผู้น้อยยังได้ตัดสินใจบางอย่างอีกหนึ่งประการนั่นก็คือ ผู้คนทั้งหมดที่ตัดสินใจเดินทางลงใต้นั้นจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สำนักมังกรที่เคยเป็นที่น่าภาคภูมิและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความบริสุทธิ์ทางด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการถูกสั่นคลอนจากพลังอำนาจของศัตรูที่มิอาจต้านทานได้ ในขณะเดียวกันพวกเขามิอาจเรียกตนเองว่าสำนักมังกรได้อีกต่อไป เนื่องจากมีผู้คนจากสำนักต่างๆมากมายเข้าร่วมเดินทางมาด้วย ทั้งจากสำนักนกกระสา สำนักพยัฆ สำนักพญาอินทรีย์ รวมไปถึงผู้คนที่แปลกประหลาดต่างๆอีกด้วย พวกเขาจะยังคงจดจำความเป็นมังกรตลอดไป เพียงแต่ว่าพวกเขามิอาจยกสำนักของตนให้เหนือสำนักอื่นๆได้อีกต่อไป พวกเขายังคงเปี่ยมไปด้วยความดุดันเพียงแต่ว่าพวกเขามิได้อาศัยอยู่บนสวรรค์วิมานอีกแล้ว จากนี้ไปพวกเขาจะยืนหยัดอยู่บนโลกที่ซึ่งพวกเขาจะต่อสู้และดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ในฐานะ สำนักพญางู.......... หลายอาทิตย์หลังจากนั้นหมอกที่เคยปกคลุมก็ค่อยๆจางลง เหล่าหน่วยสอดแนมผู้กล้าของสำนักพญางูได้เดินทางขึ้นเหนือเพื่อสำรวจพื้นที่ ที่นั่นเองที่พวกเขาได้เห็นว่าแผ่นดินทางตอนใต้นั้นได้ถูกแยกออก ดินแดนทางตอนเหนือที่พวกเขาเดินทางข้ามผ่านมานั้นถูกคั่นด้วยชะง่อนหิน ทะเลอันบ้าคลั่งและวังน้ำวนจำนวนมาก ไกลออกไปทางเหนือคือหุบเขาสุดลูกหูลูกตา ที่ซึ่งเทพมังกรได้แบ่งแยกดินแดนออกเป็นเสี่ยงๆตลอดกาล เพื่อตัดขาดพวกผู้คนออกจากเหล่ากองทัพแห่งเงามืด ออกจากบ้านเกิด ออกจากท่าน Tarrant ผู้เฒ่า และออกจากลูกแก้วพญางู พวกเขามองไม่เห็นสัญญาณใดๆทั้งสิ้น...
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 4:01 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:32 pm | |
| บทที่ 3: ก่อเกิดสำนักใหม่
Tarrant ผู้น้อยยืนอยู่บนเนินสูง ทอดสายตาขึ้นไปทางเหนือในขณะที่องค์รักษ์ของเขายืนอยู่เคียงข้าง การแตกออกของผืนโลกนั้นผ่านมาเป็นเวลาสองเดือนแล้วแต่เขายังคงมีหลายสิ่งที่ต้องทำ เขามองข้ามผ่านไปที่ดินแดนตรงข้าม ที่ซึ่งเทพมังกรถูกอัญเชิญและกระชากแผ่นดินทางตอนใต้นี้ออกเป็นเกาะเล็กๆ หุบเขากลายเป็นชะง่อนหินขรุขระมากมาย เนินเขากลับกลายเป็นหน้าผาที่เหมือนถูกพลังบางอย่างตัดออกเป็นเสี่ยง ทะเลซึ่งกั้นระหว่างดินแดนนั้นยังคงบ้าคลั่งและเต็มไปด้วยวังน้ำวน บางทีมันอาจเป็นไม่ได้ที่จะสำรวจดินแดนตรงข้ามในขณะนี้ Tarrant ผู้น้อยทราบดีว่าเหล่ากองทัพแห่งเงามืดนับหมื่นนับแสนนั้นตายจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่ายังคงมีพวกมันบางส่วนที่เหลือรอดและจะกลับไปรวบ รวมกองทัพขึ้นใหม่อีกครั้งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม และยังคงจ้องที่จะข้ามมาที่ฝั่งทางใต้นี้ Tarrant ผู้น้อยยังคงหวังว่า ซักวันหนึ่งพวกเขาจะหาทางข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามได้ และวันนั้นจะเป็นเวลาแห่งการล้างแค้น
แต่ในขณะนี้นั้นพวกเขายังไม่พร้อม บิดาของเขานั้นได้นำเหล่าศิษย์สำนักมังกรและผู้หลบหนีจากสำนักอื่นอีกมากมายจากการโจมตีของกองทัพแห่งเงามืด บิดาของเขาหรือ Tarrant ผู้เฒ่านั้นศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสำนักมังกรมามากมาย และรู้ดีว่าคงไม่มีเวลาสั่งสอนบุตรชายทั้งสองของเขาจนเวลาสุดท้าย ผู้คนเคยคาดหวังให้ท่าน Tarrant นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นครั้งสุดท้ายกลับกลายเป็นภาพที่ท่านผู้เฒ่าถือลูกแก้วพญางูในมือและเดินจากไป หลงเหลือไว้เพียงดินแดนที่ถูกแยกออกและทะเล Tarrant ผู้น้อยเข้าใจว่าท่านพ่อของเขาได้จากไปแล้ว รวมถึงการสาปสูญของลูกแก้วพญางูอีกด้วย
จากการถูกทำให้กระจัดกระจายและสั่นคลอนด้วยกองทัพของศัตรูรวมไปถึงการสาปสูญไปของเครื่องรางประจำสำนัก พวกเขามิอาจเรียกตนเองว่าเหล่าสำนักมังกรได้อีกต่อไป ไม่กี่วันต่อมา Tarrant ผูน้อยก็ได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เขาได้สั่งทำตราและสัญลักษณ์ใหม่ขึ้นอย่างลับๆ รวมไปถึงธงที่พวกเขาจะสู้ภายใต้มัน ผู้หลบหนีมากมายต่างค่อยๆแยกตัวออกไป กลายเป็นพวกโจรเพื่อไล่ล่าดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาเหล่านั้นต่างค่อยๆแยกตัวออกจากสำนักเก่าที่เคยสังกัด Tarrant ผู้น้อยได้พบปะกับเหล่าผู้นำของกลุ่มย่อยๆเหล่านี้อย่างลับๆ และโต้เถียงว่าพวกเขาไม่ควรคงรูปแบบของการเป็นผู้หลบหนีอยู่เยี่ยงนี้ การล่มสลายของสำนักนั้นได้เกิดขึ้นและไม่มีสิ่งใดจะแก้ไขมันได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือร่วมกันสร้างสำนักใหม่ขึ้นมา สำนักซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการรวมตัวกันของผู้คนที่มีชะตาเดียวกัน
ผู้คนต่างค่อยๆถูกรวมกลุ่มเข้าด้วยกัน.......อย่างน้อยมันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เนื่องจากความที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันมานานระหว่างสำนักนกกระสากับสำนักพญาอินทรีย์้ ลูกศิษย์จากทั้งสองสำนักเปิดฉากห้ำหั่นกันไปแล้วถึงสองครั้ง Tarrant ผู้น้อยจึงได้จัดแจงแยกคนทั้งสองกลุ่มออกจากกัน โดยสำนักนกกระสานั้นถูกจัดให้ไปอยู่ใกล้ลุ่มแม่น้ำทางตอนใต้เพื่อที่พวกเขา จะได้ตกปลาใช้ชีวิตตามประสาของสำนัก ส่วนสำนักพญาเหยี่ยวนั้นถูกจัดให้ไปอยู่ใกล้กับเนินเขามังกร Tarrant ได้แต่หวังว่าซักวันพวกเขาจะลืมอดีตและรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย สำนักอื่นๆทั้ง สำนักมังกร สำนักพยัฆ สำนักวานร ต่างแยกย้ายกันไปหาที่ที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นตามลุ่มแม่น้ำ หนองบึง หรือทุ่งราบ
Tarrant ผู้น้อยนั้นมิใช่คนเกียจคร้าน เขาได้เริ่มการก่อสร้างตำหนักอันแข็งแกร่งใกล้กับท่าน้ำ ที่ซึ่งเหล่าศิษฐ์สำนักมังกรแทบทั้งหมดตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั้น และเหมือนโชคยังดีที่มีช่างไม้ฝีมือดีจากสำนักพญาอินทรีย์รอดตายมาจากวิบัติครั้งนั้น ตำหนักแห่งนี้ต่อมาถูกขนานนามว่า Serpentholm หรือตำหนักพญางู กำแพงของตำหนักนั้นหันหน้าสู่ลุ่มแม่น้ำเพื่อรอคอยสายเลือดใหม่ที่จะมาถึง.....เขาหวังไว้เช่นนั้น
ในขณะที่ Tarrant ผู้น้อยนั้นพำนักอยู่ที่ Serpentholm น้องชายของเขา Ozaku ได้ออกตระเวนเพื่อสำรวจดินแดน Tarrant ผู้น้อยนั้นคงความสุขุมและสงบอยู่เสมออันเนื่องมาจากเขารู้ดีว่าอนาคตของสำนักนั้นฝากไว้กับเขา สำหรับ Ozaku นั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง Ozaku นั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนและชอบเสี่ยง ชางบ้านต่างรู้ดีว่า Ozaku เป็นคนเยี่ยงไร เขารู้ดีว่าตัวเขานั้นเกิดมาเป็นได้แค่ตัวสำรองดังนั้น Ozaku จึงไม่แคร์หรือรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น รวมถึงยังชอบร่ำสุราจนหัวราน้ำ และมักจะเป็นคนนำทัพออกไปต้านศัตรูเป็นคนแรกๆเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้ Ozaku พำนักอยู่ที่ตำหนัก กลับกันให้เขาออกไปกระทำการต่างๆ และให้ชาวบ้านเห็นความเป็นผู้นำของเขาด้วยตาตนเอง.........
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 4:04 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:34 pm | |
| บทที่ 4: กฏแห่งมังกรสูญสลาย
Ozaku และสหายร่วมสุราของเขากลุ่มหนึ่งได้ควบม้าลงไปทางตอนใต้ เข้าสู่ดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้และทุ่งหญ้า ที่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเหมาะสำหรับการเพาะปลูกแถมป่ายังปกคลุมยาวไปจนถึงชายฝั่งที่ซึ่งน่าจะเป็นตอนใต้สุดของขอบโลก ในที่สุดนั้นชีวิตก็กลับเข้าสู่วิถีปกติ หมู่บ้านชาวประมงและหมู่บ้านเล็กๆน้อยๆต่างค่อยๆผุดขึ้น Ozaku นั้นทำหน้าที่ผู้นำได้ค่อนข้างดี ณ ที่นี้ ทั้งการประกาศการรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและนำความสารจากตอนเหนือมาให้ และที่สำคัญคอยเตือนใจผู้คนว่าพวกเขาทั้งหมดนั้นต่างรวมเป็นสำนักหนึ่งเดียวแล้วในที่สุด เมื่อ Ozaku ไม่สามารถลงใต้ เขาก็หันไปทางตะวันตก ที่ซึ่งมีหุบเขาทอดยาวเป็นครึ่งวงกลมปกคลุมดินแดนที่ราบ เขาจึงให้สมญาหุบเขานี้ว่า หุบเขาหางมังกร เขายังพบแหล่งอาหารชั้นดี เนื่องจากที่บริเวณนี้มีลำน้ำกว้างและไหลเอื่อยทอดยาวไปสู่ดินแดนที่ต่ำลงไป หลายอาทิตย์ผ่านไป กลุ่มของ Ozaku ออกล่าสัตว์ขึ้นไปทางเหนือตามลุ่มแม่น้ำจะหยุดพักก็ต่อเมื่อเหนื่อยเท่านั้น จนกระทั่งพวกเขานั้นได้เดินทางผ่านซากโบราณซึ่งเป็นหลักฐานว่าเมื่อนานมาแล้วนั้นเคยมีผู้คนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ หุบเขานั้นดูเหมือนถูกคว้านเข้าไปคล้ายถ้ำ ลดระดับต่ำลงไปเป็นขั้นๆคล้ายกับโรงมหรสพ
ทางตอนเหนือนี้พวกเขายังพบกับดินแดนที่เต็มไปด้วยหนองบึงซึ่งเต็มไปด้วยหมอกหนาปกคลุมไปทั่ว ผู้คนที่มาตั้งถื่นฐานใกล้เคียงกับบริเวณนี้ขนานนามดินแดนในแถบนี้ว่า Shaleback อันเนื่องมาจากชะง่อนหินเชลล์ที่ยื่นออกมาจากหุบเขามากมาย ชะิง่อนหินเชลล์นี้ยังเป็นอุปสรรคในการขี่ม้าข้ามไปอีกด้วย หน่วยสำรวจรายนึงรายงานว่าเขาได้มองเห็นซากกำแพงและหอคอยเก่าแก่ที่เกือบจะจมลงใต้หนองน้ำ ลึกถัดเข้าอีกในดินแดนที่แฝงตัวอยู่ภายใต้เงาของ Shaleback นั้นเป็นดินแดนต้องห้ามซึ่งไม่มีผู้ใดเคยเข้าไปถึงมาก่อน อันเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยหมอกหนาและลำธารเย็นยะเยือก พวกผู้คนขนานนามลำธารสายนี้ว่า Shadowmere มันเป็นลำธารซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าลึกเท่าใด และหากสังเกตุท่านจะเห็นว่ามีบางสิ่งที่ดำมืดแหวกว่ายอยู่ภายใต้ลำธารสายนี้ พวกของ Ozaku ได้สละม้าเพื่อเดินทางขึ้นสู่ที่สูง ขึ้นไปสู่เนินเขาอันเป็นที่เหล่าผู้หลบหนีนั้นได้ตั้งถิ่นฐานเป็นที่แรก ดินแดนแถบนี้นั้นทั้งหนาวเย็นแห้งแล้งและมีลมพัดแรง Ozaku และพรรคพวกใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงมองไปทางทิศเหนือ มองข้ามคลื่นลูกใหญ่ซึ่งซัดกระหน่ำไปยังดินแดนบ้านเกิด
ลูกศิษย์จากสำนักวานรหนึ่งในพรรคพวกของ Ozaku ได้สำรวจแนวหินไปทางตะวันตกและรายงานว่า พบบังลังก์สีขาวอันน่าประหลาด ซึ่งฝังตัวอยู่ภายใต้โขดหินที่ยอดเขาหันหน้าไปทางตะวันตก จากนั้นพวกเขาได้ไต่เขาไปทางตะวันออกผ่านดินแดนที่ราบสูง ที่ยอดเขานี้พวกเขาสามารถมองไปทางทิศใต้เพื่อมองเห็นดินแดนแห่งใหม่นี้ได้ทั้งหมด พื้นที่ซึ่งต่ำลงไปนั้นค่อยๆจางหายไปกับขอบฟ้า ในยามค่ำคืนนั้นพวกเขายังสัมผัสได้ถึงรัศมีประหลาดที่ล่องลายมาตามลม พวกของ Ozaku ผ่านช่วงเวลาค่ำคืนนี้ไปอย่างลำบากยิ่งนัก จากทุกทีที่เคยดื่มสุราเมามายอย่างไร้กังวล แต่สำหรับพื้นที่รายสูงนี้แล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เก่าแก่และพิศวงในชั้นบรรยากาศ
หลังจากค่ำคืนผ่านพ้น พวกของ Ozaku ค่อยไต่ลงมาจากหุบเขาตามร่องหิน ในขณะนั้นเองพวกเขาได้แลเห็นว่า ตาน้ำจากภูเขานั้นค่อยๆรวมกันเป็นลำธารอันใสดั่งผลึกแก้ว ทอดยาวไปทางตะวันออกสู่มหาสมุทร พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางเลาะลำธารนี้ต่อไปอีกหลายวัน ซึ่งเป็นช่วงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ร่วง และเป็นช่วงเก็บเกี่ยวแรกของดินแดนแห่งใหม่นี้ พวกเขาจึงเรียกแม่น้ำนี้ว่า แม่น้ำแห่งการบรรจบ
เมื่อ Ozaku กลับมาถึงสำนัก เขามีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าให้พี่ชายของเขาฟัง สำนักพญางูนั้นค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างรวมไปถึงวัฒนธรรมต่างๆก็เช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกปลดปล่อยจากกฏแห่งสำนักมังกรเกี่ยวกับกฏหมายและการประพฤติตัว โรงเตี๊ยมและโรงอาบน้ำต่างผุดขึ้นมากมายทางตอนใต้ รวมไปถึงสุราชนิดใหม่ซึ่งผลิตมาจากพืชของดินแดนทางตอนใต้นี้ซึ่งให้ทั้งกลิ่นหอมและรสหวานละมุนอย่างยิ่ง
Tarrant ผู้น้อยนั้นได้คัดเลือกผู้นำหน่วยย่อยๆสิบสองคนจากทั้งสำนักมังกรและสำนักอื่นๆ เพื่อให้แยกย้ายกันไปดูแลความสงบตามดินแดนต่างๆ บุคคลที่ถูกคัดเลือกเหล่านี้นั้นผ่านการทดสอบอันเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะรักษากฏระเบียบและสั่งสอนผู้คนได้ หลังจากเหตุร้ายผ่านพ้นมานั้น กฏระเบียบต่างๆก็เริ่มกลับเข้าสู่ที่ทางของมันในที่สุด
ทุกชีวิตต่างเริ่มต้นอีกครั้ง หลังจากหกเดือนผ่านพ้น Tarrant ผู้น้อยถูกขนานนามใหม่ว่า Tarrant ผู้สร้าง อันเนื่องมาจากที่เขาช่วยสร้างที่พักและบ้านแห่งใหม่ให้กับผู้คน ดูเหมือนว่าความสงบสุขจะค่อยๆกลับมาอีกครั้ง แต่แผนการณ์ของเหล่ากองทัพเงามืดและผู้ที่คิดทรยศกำลังจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ อีกครั้ง..............
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Mon Jan 30, 2017 4:06 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:37 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 5
Chapter 5: The Coming of the Wolf
Tarrant the Builder first had word of the Wolf Clan's arrival from one of the watchtowers he had placed on the high, rocky northern coast. He had decreed that there must always be a vigil kept, always an eye watching northward for the Horde. A rider came pounding up the western road, bringing the news: "Ships! Ships wrecked on the northern coast! A whole fleet men, women, a whole clan!" Tarrant knew this young rider had never seen the Horde, and might not recognize them, but even so he knew this could not be the enemy they had run so far to avoid the Horde were not men. He gave orders that the newcomers should be sheltered and given every kind of aid, as long as they offered no harm.
Soon a peculiar looking man in middle age was brought before him, and was presented as Greeneye, chief of the Wolf Clan. Tarrant studied him well. For a start, the man was enormous, a head taller than Tarrant and broader across the shoulders. Everything about this man spoke of a life lived closer to nature than that of the feudal Serpent people. His clothes were hides sewn roughly together, and they left his limbs bare, except where they were covered by leather straps and cloth wrappings. He wore spiked gauntlets and high leather boots, stone jewelry, all raw and roughly cut, as if their makers were determined to alter the original natural shapes as little as possible the original natural shapes. Likewise his hair was long and unbound.
But looking closer, Tarrant noticed more. His eyes showed nothing but calm readiness. The man had been ship-wrecked and brought before a foreign lord, yet he didn't seem nervous or hostile or afraid just watchful, open and ready for whatever came. When he spoke it was with a gruff courtesy, and when asked to tell his story he was eloquent, even poetic this was a people who valued the ability to speak publicly and tell a story. There was a nobility to him that transcended his rough appearance.
Until two years ago, the Wolf Clan had lived on an island far to the west, a place of cool mountains and deep green forested valleys. They had lived there for as far back as their oral histories could recall, having little traffic at all with the mainland. They hunted the still forests and fished in the rivers and bays. They were a wild people but not bloodthirsty or warlike most of their violent impulses were channeled into Wolfball, a brutal, no-holds-barred sport that was the focus of their cultural life. They lived in harmony with nature and practiced a druidic religion, worshiping nature itself.
Two years ago all nature was thrown wildly out of balance. They would have been destroyed as a people had they not received warning from their high druidess, who saw a dark power coming from the north and a bright one rising to oppose it in a conflict that would shatter a continent and drown their island. For months they worked to build a fleet of ships to hold their entire clan's population and food to sustain them.
When the disaster came they barely survived it they put to sea as fast as possible, but entire villages were lost when the winds came that tore trees up at the root, and waves came like rolling hills to wash over the land. Navigation was impossible -- when the great channel was torn through the continent the seas rushed to fill it, and the Wolf Clan was drawn with it, crossing hundreds of miles as they wandered, swirled by eddies, fishing to stay alive.
When they were drawn into the channel the currents grew more violent, and they were sucked inevitably onto the cliffs to the south, dashed on boulders which until eight months ago had lain far underground. The seas and the stony shores were merciless, and when Serpent Clan watchmen made it down the cliff face to the shore, they found less than half the Wolf Clan alive and safely ashore. When Greeneye's story was finished, Tarrant the Builder told his own -- the arrival of the unbeatable Horde from the north, fleeing south desperately with the remains of his tribe and fragments of a dozen others. Then leaving Tarrant the Elder alone to try to summon the Dragon and meet the oncoming Horde, and lastly, the terrible Breaking of the World, that had saved the Serpent Clan but which they now knew had driven the Wolf Clan from their home.
Greeneye listened unmoving, neither condemning, nor entirely forgiving what he had heard. In the end he asked only for a place for his people to live, and Tarrant granted him the high peak in the northwest extreme of the realm, and the Shaleback ridge down to where the foothills begin, halfway to the Wendwater source. There the Wolf Clan went to dwell, living much as they did before, hunting the high forests and ranging occasionally into the swamps and woods below. They kept to themselves, and were seen only occasionally by far-ranging hunters, traders and messengers. Still, those who lived in the valleys below could always see lights burning there, and on the solstices bonfires and singing and howling would drift down from the high places to show that the Wolf Clan was alive and well. More often, villagers would be disturbed by howling closer to home, or would look up while hunting or riding to see a pair of almost-feral eyes peering at them through the trees, and a skin-clad bestial-seeming Wolf Clansman would lope away through the trees. Both clans were uneasily conscious of the past that linked them, the Serpent's unintended devastation of the Wolf.
Years passed and both clans grew, living more or less in harmony. A generation of men and women lived peacefully. Tarrant the Builder took a wife, a chief's daughter from the Heron Clan, who gave him a son, Yukio, and a daughter Mariko. In time, that whole generation passed from the earth. Ozaku died when he was thrown from a horse while skirmishing with robbers who raided out of the swamps; a decade later, Tarrant the Builder, once Tarrant the Younger, died peacefully in his sleep, leaving Yukio to rule.
When that generation died, so did the last of the men who had lived through the great journey southward. The last who had fought so desperately against the Horde, the last who had been born into the Dragon Clan, and had known their ancient homelands so far to the north. Those who followed knew only the Serpent Clan and their lands, and the ways of the Dragon Clan became something one read about, rather than a living tradition. And would remain so, unless someone returned to bring them back.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:50 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:38 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 6
Chapter 6: Yukio's Time
Yukio was twenty-four when his father died and he assumed leadership of the Serpent Clan. Still, he wished his father had been able to teach him more, more of the past, the history and knowledge of his Dragon Clan ancestors. Some of it was on the old scrolls his grandfather had saved when fleeing the Horde. Some was scattered among dozens of old Dragon families, who, although they no longer practiced the old ways, had passed some of the knowledge down, like the kabuki fighting forms and the philosophies of the Dragon Warriors. The rest… was lost.
Still, times were good, and there seemed to be no need to question what was happening. Plentiful harvests had followed one another, year by year, for so long it seemed that this new land was a paradise. When the time came to marry, Lord Yukio did so intelligently, choosing a woman whose family had once ruled the Eagle Clan, and so erased one of the largest divisions remaining in the land.
Even the new arrivals, the Wolf Clan, seemed to be content to live in peace with them. The troubled history of the Dragon clan seemed to belong to a mythic past. Already men were starting to doubt the Horde, to treat it as a fairy tale, forgetting the terror and devastation their grandparents had endured, the times when it seemed the Dragon Clan and all human life would certainly be destroyed.
As the ways of the Dragon clan faded, new Serpent traditions began. One example of this was the new role of gunpowder. Dragon Clan had known the secret of gunpowder since time immemorial, but had never used it for other than large artillery, useful for sieges and large-scale engagements.
There were two reasons for this. One was the effectiveness of their traditional fighting units, particularly archers and samurai as long as they possessed a culture that practiced extremes of discipline and martial ability, there was no need to develop muskets or riflemen.
The other was the martial code, that valued personal skill and bravery over all else -- the musket was a weapon even a man with minimal training could use where was the honor, the beauty in that? Even a powder keg required training and strength to use, and it was needed for situations where another weapon could not be used. But to kill a samurai with a musket was simply to dishonor oneself, and that was synonymous with defeat.
But that had been the Dragon Clan, and the Serpent Clan's philosophy was quite different. Soon the sharpshooters' guilds multiplied, and the musket became a standard part of every armory. Despite its inferior range compared to the longbow, it became popular simply because it was easier to use, and trained archers were often scarce. It was a relaxed, fruitful time, with warm seasons and plentiful harvests, not a time to be serious. No one seemed to want to worry about the old standards of martial training, or points of honor.
Indeed, it was not until four years later that the first test of Lord Yukio’s leadership came. It began innocently enough, with the arrival at Serpentholm of a delegation from the farmers in the northern reaches of the Fertile Valley, in the shadow of the High Plateau. They complained of disturbances emanating from the heights chanting, flashes of light, once a groaning noise, as if some colossal beast were speaking in half-formed words. There was a strange taste in the Cascades, the river that trickled down from springs somewhere on the rocky mesa, and their animals drank only reluctantly. There were superstitions about the plateau, and the peasants were afraid to investigate.
Lord Yukio sent his nephew and thirty men, archers and swordsmen, to scale the Dragonsteps and satisfy themselves that nothing was amiss. They were gone for ten days, and even before they returned word ran ahead of them -- they had discovered a group of bizarre-looking strangers on the plateau, and were returning with them. This was the first Lord Yukio heard of Clan Lotus.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:51 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:38 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 7
Chapter 7: Strangers Visit
Their arrival confirmed the rumors. The four strangers were indeed outlandish in appearance. All were well over six feet tall, and the tallest towered at what must have been eight feet high, with a long face and elongated limbs. The eldest had long straight black hair reaching to below his waist. He wore luxurious robes marked along the fringe with runes from an alphabet no one of the court recognized. His lined face marked him as old, but with an ageless quality he might have been fifty, but Yukio would not have been surprised to learn he was twice that. Despite his age he stood easily through the long diplomatic introduction, and moved gracefully. His three companions, apparently bodyguards, were equally baffling. One carried a long staff, and another, the gangly eight-footer, wore two dangerous-looking crescent-shaped blades. The third carried no weapon at all, but wore long bandoliers lined with silvery leaves. None of them spoke, and all had the same straight hair and flowing robes.
The elder, introduced as Lord Zymeth, told their story in a deep, resonant voice, the voice of a practiced orator, speaking in an archaic trade language that had been common once on the continent. They were Clan Lotus, and they were exiles and refugees. Years ago they had been part of a great and ancient clan, who lived on a forested island that lay a score of miles east off the coast of the main continent. They were a peaceful and civilized clan, with a deep reverence for nature, and a matchless knowledge of magic and the inner workings of the world. He spoke of their island, the Blackmount, of great limestone ziggurats rising among the vegetation, and the mossy temples where they performed ritual devotions to the gods of balance and nature.
When the Horde devastated the mainland, the old clan had thought themselves safe, for the Horde seemed reluctant, or unable to cross water. They watched as the Horde moved unstoppably southward, killing not only those who opposed them, but all animal and plant life as well, leaving bare rock and dirt in their wake.
What happened next, no one had predicted. One day the winds rose and the sea seemed to go mad. A storm grew and struck with hurricane force, and an unstoppable current in the ocean began to flow southward, sweeping away ships and tearing docks out from their foundations. This in itself was no more than a nuisance, but the bizarre tides continued until, for the space of twelve hours or so, a causeway of bare rock was exposed between the Greenwood and the mainland, and that was all it took. The Horde had been gathered on the shore perhaps awaiting just such a chance, and thousands of them rushed across, and the devastation that had so far spared them finally descended. The clan, which had depended on its soothsayers to predict and avert all harm, was caught completely unprepared.
For all their learning, the old clan had not fielded an army for hundreds of years, and the Horde simply slaughtered them. Only one group within the Clan was able to put up any resistance at all, heroic wizards who had rediscovered an ancient area of magic that might offer survival for some. His voice trembling, Lord Zymeth described the desperate final moments of their defense of the forest temples, the fall of their mightiest heroes, and a desperate retreat to the coast.
The group of brave wizards put to sea on hastily-created magical craft, spells loosely holding timbers together until they could put in at an island harbor and build more permanent craft. Their magics had allowed them to endure the terrible currents that followed the breaking of the world, and they had wandered from island to island, hoping to find one both safe and large enough to live on permanently. They had come to this land in order to live and work in peace, and founded a new people, the Lotus Clan.
That night, the Lotus delegation was quartered at Serpentholm, while Lord Yukio consulted his advisers and the ancient scrolls of his library, the remnants of the recorded wisdom of his ancestors. There he found an account written some four hundred and fifty years earlier by Tarrant the Wise, that shed additional light on Lord Zymeth's tale. It told of eight strangers who had arrived on the Dragon Clan's borders pleading for sanctuary. They, too, had been exiles like the Lotus Clan, and had been more forthcoming about the Forbidden Path, describing it as a magical art that involved death and corruption, and harnessing those forces. With some misgivings, Tarrant the Wise had allowed the strangers to stay, and had even allowed a few members of the Dragon Clan to study with them, among them his own nephew.
The experiment had ended badly. The area where the strangers settled quickly became unpopular cattle would not graze there, and even birds seemed to avoid it. The following year a plague afflicted a nearby village, and the area was quarantined. A few months later, Tarrant was awakened by his guardsmen with word that his nephew had returned, gravely ill, and was asking for him. By the time Tarrant dressed and hurried to his nephew, it was too late -- indeed, it was almost unbelievable he had managed to ride home at all. Some kind of rot had invaded his flesh. In the act of dismounting, most of the muscle had actually sloughed off his right arm, the bones of which could now be seen. The stench was horrible. He managed to say a few words before he died. "Burn it...burn it, uncle...Forbidden... Path." His nephew's horse, and one of the guardsmen who had helped him in, also died within a week.
When Tarrant and a dozen volunteers arrived at the visitors' compound, almost all of them were dead of a similar disease. They found one man dying in the courtyard when they rode in; his legs were so badly decayed he could not walk. He wept incoherently and begged for death, and Tarrant recognized him as the dignified, scholarly man who had spoken for the group when they first arrived. Inside they found rotting corpses, most of them unburied, some of them still in their beds, or, incredibly, seemingly in the act of studying. A few were more disturbing, with elongated bones and extra fingers. There was a tree growing in the garden there that had increased enormously in size over the course of a year, and at its base they found another skeleton, this one apparently a child's. They burned everything they found, destroying all the written materials the strangers had brought. Even so, it took years before the area could be resettled.
After reading this, Lord Yukio considered for a day and a half before sending for Lord Zymeth again. The strangers of Tarrant’s time were clearly more dangerous than Lord Zymeth looked, but too much about them was still unknown he had decided to speak frankly. He acquainted his visitor with all he had read, and waited for a response. The elderly man looked very grave, and hesitated for a long time before speaking.
"We had long wondered what became of Lord Thuria's people. Now I know what end came to them. I wish to explain what has happened. Our way does indeed involve very dangerous forces. The corruption your ancestor witnessed is the danger we face, and seek to control. However, the fate Lord Thuria suffered will not come to us, because we have mastered what they fell victim to. Among my people I am considered most learned, a Master Warlock of the High College, but I have not died of it. Why? Because I learned to control the Corruption that claimed them. Please trust me, noble sir they died because they had only imperfectly grasped the secrets, the arts we have mastered."
In the end, Lord Yukio let himself be convinced, perhaps most of all because the Lotus Clan claimed to have had some power against the Horde. He granted the Lotus Clan all of the High Plateau and the passes leading up to it, land that in any case no one else had wanted, both because of its desolation and the sorcerous reputation surrounding it.
After that, Lord Zymeth was a frequent visitor at Serpentholm, and frequently offered advice. He also befriended Hideo, Lord Yukio's son, and the two of them frequently went riding together. In time, Lord Zymeth became, informally, both Yukio's adviser, and Hideo's tutor. Hideo was only eighteen when Lord Yukio fell ill of a wasting disease and died, and when Hideo became the head of the Serpent Clan it was natural for him to appoint Lord Zymeth as his chief adviser, and listen closely to his councils.
Strangely, in all that time, Lord Zymeth never seemed to grow any older.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:51 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:38 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 8
Chapter 8: Meeting of Clans
Lord Hideo frowned as he sat on the rough matting that was the Wolf Clan keep’s only concession to comfort. Once each year the leaders of the three clans met together, along with their advisers and bodyguards, to discuss matters of mutual interest and attempt to keep the peace. Hideo had observed, though, that these meetings were increasingly devoted to airing grievances, making veiled threats, and generally creating as much friction as possible.
This year it was the Wolf Clan's turn to host, which meant a difficult ride up steep trails to that clan's keep, high on the Shaleback ridge. The insular Wolf Clan made little attempt to make their guests comfortable, and hospitality meant sleeping on the ground in the stone, wood, and stitched hide structure they called a keep, and sitting through the chanting and endless sagas they thought of as entertainment. Endless bestial howling from the woods – some primitive ceremony had kept him awake half that night, and Hideo was not in a pleasant mood.
To his right sat Lord Zymeth, head of the Lotus Clan, with his long black hair and robes of office. No one knew how old Lord Zymeth really was, but he had been Hideo's boyhood tutor and was now his chief adviser. Behind Zymeth sat his bodyguards, bizarre-looking Lotus clan warriors, elongated men with a curved blade in each hand, and bone-white warlocks. They had had to camp up on the ridge a hundred yards from the Wolf village something about them drove the dogs here crazy.
Across from them sat the Wolf Clan chief, Blackbone, an enormous gray-haired man dressed only in a light vest despite the chill of altitude. Behind him lounged half a dozen men in animal skins and shale armor, hulking ones carrying enormous sledgehammers or feral berserkers with claws strapped to their forearms.
The meeting had gone as predicted, issue by issue. He and Lord Zymeth had discussed complaints of something strange that had been seen to come down from the High Plateau by night and roam the forests of the Fertile Valley. Zymeth and Blackbone had squabbled as usual over mining rights in the disputed areas on their territories’ mutual border. Hideo had agreed ahead of time to take the Lotus Clan's side in that argument, and so he did. All agreed to maintain the lookouts on the Channel to the north, despite seeing nothing for many years, of either the Horde or any seagoing clan. Was the Horde even a reality, Hideo wondered, or just part of the legend of Tarrant the Elder, his semi-mythic great-grandfather?
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:52 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:39 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 9
Chapter 9: Blackbone's Trust
After much argument and persuasion, it was agreed that one of the old Lotus Clan scholars would be sent to tutor Blackbone's son, Brighteye, as Lord Zymeth had once done for Hideo. The Wolf Clan sought little contact with outsiders, but eventually Hideo had persuaded him that there was little harm in it, and possibly much advantage. Despite all the posturing, growling, and ill-will, peace had been kept for another year, and all parties returned home semi-satisfied.
Two months later, Hideo was out riding when the news came that fighting had broken out between the Clans. A messenger caught up to him and told him the story as they rode back to Serpentholm. Four days after the meeting of the clans, Brighteye's new tutor had arrived, a Master Warlock named Errelth. There were many in the Wolf Clan, especially among the shamans and druidesses, who did not welcome him, but Blackbone allowed it, reluctant to reverse his own decision.
However, three weeks later the shamans were proven right. Two guards had discovered Errelth crouched outside the boy's door in the dead of night, whispering and chanting in some harsh unknown language. There was no pause for discussion. With a howl of rage, one guard had assaulted the tutor with an enormous club, while the other ran to rouse the household. Brighteye awakened from troubled dreams to find a pitched battle in progress outside his bedroom, as at least thirty Wolf Clan soldiers, including Blackbone himself, engaged a lone Master Warlock. In the end, eight Wolf Clansmen had died and a third of the building had been demolished, but Errelth was dead. After an enormous brawler named Heartsclaw broke his skull open, the tutor's body had wasted away in seconds.
Or so the Wolf Clan version had it. When Hideo reached the castle, he found that another messenger had arrived from Lord Zymeth, with a different version of events in which drunken Wolf Clansmen had assaulted an aged scholar without provocation.
Already there was scattered fighting between Lotus and Wolf troops near the disputed mining camps. A third messenger had arrived, from the Serpent Clan lookout garrison near the Throne: should they stay neutral, or choose sides? And whose? But there was really no choice. Lord Zymeth had been his friend, really a second father, since he was a child, and had taught him everything he knew of statecraft. Clearing decisions with him had long since been second nature. He had no reason to distrust the Wolf Clan, but he had never particularly liked them. The way Blackbone looked at him coldly, seeming to judge him. No, there was no question about who he could trust.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:52 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:39 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 10
Chapter 10: Lord Hideo's War
And so, in Lord Hideo’s reign war broke out for the first time since the coming of the Serpent Clan: Lotus and Serpent allied against Wolf. Surprisingly, for the first eight months or so the outcome seemed uncertain. The Wolf Clan warriors were matchless in their own territory. They fought at night and in all seasons, on all terrains. They seemed to have no organization, only packs or lone fighters who emerged from the forest to harass large contingents or massacre smaller ones. They laid traps and ambushes, and at times the forest itself seemed to thicken on command to immobilize their enemies. Individually Wolf Clansmen were cunning and brutally strong. More and more, Serpent Clans soldiers were relying on muskets and a defensive line of spearmen, just to keep from closing with the foe in one-to-one combats. And when a Wolf Clan fighter was killed, it was always at a terrible cost: he would invariably sell his life dearly, and these berserker rages were an awesome sight, enough to cow any warrior in the land. Fighting opponents such as this eroded morale, and occasionally Serpent troops would retreat even with the advantage of numbers, rather than face a berserk and suicidal enemy.
It was Zymeth himself who first began to turn the tide. He saw the Wolf Clan's Achilles heel, their failure to coordinate on a larger scale, their lack of organization. Lord Zymeth’s counter-offensive had a discipline and sophisticated organization that Blackbone could not cope with. Zymeth's strategic vision first began to turn the tide.
This was especially true as new and stranger Lotus troops began taking the field. Until this point, almost no one outside the Lotus Clan had really understood what was happening on the High Plateau, and not even Hideo had seen the worst of it. Now reports began coming in of what their allies really were. Distorted long-limbed bladesmen, staff adepts, and leaf disciples had been strange enough half-sorcerous warriors. Now they were joined by terrifying rotting things that had hitherto been kept out of sight, men who seemed always to be dying and spewing disease as they died, but staggered on and on until hacked to pieces. Even Wolf Clansmen could be cowed when faced with these.
For a while, the Wolf Clan held out. They had discovered a crucial fact, that the black shale they used in their armor and buildings was one of the few materials that could shield them from the Lotus Clan's magical corruption. Perhaps this explained why Lord Zymeth had insisted on access to the mines.
In the end it was a suggestion from Lord Issyl that sealed the Wolf Clan's defeat. Even then, the master warlock looked like a young man barely into his teens. Giggling, he told the war council of the Wolf Clan's superstitious terror of a being called the White Wolf. He proposed a plan whereby all the Lotus troops would dye their hair white. No one knew where he had gotten this knowledge, but it worked. This new measure played on ancient fears, and it broke their morale, fatally. Lotus Clan hair has been white ever since.
In the last days of the war even the highest master warlocks were seen on the field of battle, cloistered beings who had not been spotted outside the High Plateau before or since. They were bizarre and terrifying fighters. Reality seemed to break down around these men and women, like Koril who shimmered and blinked in and out, laughing as blades passed harmlessly through him, and Issyl who seemed to accelerate as he fought, stabbing opponents who were still hopelessly trying to get their blades in line. And others whose names were never learned, whose shapes changed, or who changed those around them, or wreaked havoc in a dozen other ways.
When the end came for the Wolf Clan, many of the defeated chose not to surrender, but piled up the bodies around them as they raged, fighting to the last. No one who fought in the final battle could help but feel awe and respect at the Wolf's conduct, save perhaps the impassive warlock and master warlocks, whose feelings no one could read. When Blackbone fell at last, however, it was the end for any real resistance. Fourteen-year-old Brighteye called for a general surrender on any terms, and the majority obeyed. Otherwise, the Wolf Clan might have been wiped from the earth.
There was a brief conference of the three leaders, Brighteye glaring defiantly even as he agreed to the surrender terms. The Wolf Clan was sent into slavery, working the mines under supervision of the Lotus and Wolf Clans. In return, they would be spared and allowed to live on their lands in comparative peace.
Officially, the Wolf Clan no longer governed itself, but submitted to the will of Lord Hideo, Lord Zymeth and a governing council. The facts, though, were different: although enslaved, the Wolf Clan was never subdued. Even though Brighteye was forced to work the lowest tasks, digging sewage trenches and sleeping in common quarters, they could not stop clansmen from subtly deferring to him. Hideo heard rumors of secret meetings deep in the mines, even a code worked out in the rhythm of the sledgehammers as the broke the shale. Hideo knew they were savages and could never outwit him, but he sensed in the reports and the tours that the Wolf Clan was waiting, even preparing, for its chance.
Whether or not they felt this way, the Lotus Clan did not make kind masters in the mines they oversaw. Certain of the Master Warlocks had appropriated a number of Wolf Clan slaves to perform experiments on, in the hopes of creating more efficient, more tireless workers. The results were bizarre and often tragic, the strangest of these being the creation of the Shale Lord, who still lives today.
When Hideo's son Oja was born, he grew up in a different world than his predecessors. He knew the Wolf Clan only as slaves, not as a legitimate clan, whereas the Lotus Clan were trusted allies and partners in victory. He was taught to govern according to many Lotus ideas, ruling through strength and fear, valuing fanatical loyalty over thoughtful devotion, using any technique to gain obedience. Although he learned the Serpent Clan's history, the Dragon Clan and the Horde were little more than names to him, part of the life of his great-great grandfather.
Although some did criticize Lord Hideo as too obedient to Lord Zymeth's wishes and far too trusting, even brainwashed, it can be said that he learned from his experiences. Although the two clans remained close, Oja learned his letters and his history from his father's Serpent Clan generals only. He never had a Lotus Clan tutor, nor did any of his sons. Of this, Hideo made certain.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:53 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:41 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 11
Chapter 11: Whispers of War
After the funeral rites had been completed, Oja went for a long ride and mentally reviewed his situation. At the time of his father’s death, Lord Oja came of age in a complex world his predecessors had never had to face. In theory he was the most powerful man in the realm, with Lord Zymeth of the Lotus Clan as his advisor. The Wolf Clan was enslaved, and as far as he knew, had no chief at all. However, to his credit Oja understood that the situation was more complex than this. The Lotus Clan leader was too clever by half, and obviously more ambitious than he would like to admit. Likewise, the Wolf Clan was far from subdued the small riots and uprisings that broke out every few months testified to this.
As Oja grew up he had been trained in the arts of statecraft and war, both personal combat and the command of armies, and he suspected that one day he would need all his abilities. He was not wrong the other two clan leaders were not idle on that day.
Far to the northwest, Lord Zymeth stood on the lip of the High Plateau, gazing south over the patchwork of fields and forests that covered the fertile land, as the wind blew through his long, white hair. For three generations he had served the Serpent Clan chiefs as friend and advisor. To all the world he appeared to be their subordinate, the faithful adviser first to Yukio, then Hideo, now to this young Lord Oja. So he played a double game, pretending to serve lesser men, while he maintained his own status as leader of his own clan, the Lotus.
Leading the Lotus required mastery of their Byzantine hierarchy and endless maneuvering, playing the other master warlocks against each other, edging out the heads of the different colleges, repeatedly asserting and proving that his was the highest mastery and the strongest will. The Lotus Clan had many master sorcerers to contend with, some of them older than himself Koril of the College of Space had centuries, as did Issyl of the College of Time (though currently he appeared to be a nasty child of eleven).
Zymeth knew as he stood there that he could not continue this way indefinitely. Now that the Wolf Clan was under control it was time to make a forceful move, to take advantage of the Serpent Clan's trust he had so carefully built up.
(But even Lord Zymeth did not know everything that was happening in the land. There was a third man who was also watching, waiting, and planning. Far to the Northwest, the man who would one day lead the Wolf Clan labored in the shale mines, swallowing his anger as he waited for some moment of weakness or confusion in his enemies. As he waited he trained his clan, letting the daily work digging tunnels and breaking stone make them stronger and more skillful. But it was not yet time for the Wolf Clan to rise again...)
Only eight days after Lord Hideo’s death, Lord Zymeth made his proposal to Lord Oja, he began by playing on Oja's youth and ambition. He flattered him, assuring him that the Serpent Clan was larger and stronger than the Dragon Clan had ever been. Surely, a capable young man like Lord Oja would want to make his name immortal, become a greater Lord even than Tarrant the Elder who had saved them all from destruction. Then Zymeth revealed his idea: the master warlocks of the Lotus Clan had drawn up plans for a fleet of magical ships, which could bear them safely over the lethal currents and eddies of the Channel. Once on the other side, Serpent Clan soldiers could finally engage and destroy the Horde, if it even still existed. Under Lord Oja's generalship, the menace that had driven them from their ancient home would finally be defeated.
It was too much for such a young leader to resist. Lord Oja gave the orders, and construction began. Wolf Clan laborers were immediately set to work cutting timber and building a shipyard on the northeastern coast, under Lotus supervision. The Wolf Clan were the only Clan to have a real tradition of shipbuilding although the Lotus Clan had also arrived by ship, those were little more than desperately improvised platforms, two-thirds magic, constructed at great cost. In any case the Lotus were too scholarly and dignified to cut wood and warp planks that could be left to the brute laborers.
The ships were not ordinary ships, however, and the plans provided by the Lotus warlocks were unlike any the Wolf Clan laborers had seen before. The ships they were building were obviously seaworthy, but they sported certain...modifications no one fully understood, and which the Lotus Clan did not explain.
Most obvious was the lack of either sails or oars. As the Lotus men explained, the ships would be propelled by magical means alone, a spell laid into each of the ships as soon as it was near completion. The second feature was that each of the ships was built to contain, at its center, a large object roughly the size of a barrel, which would be enormously heavy, to judge by the reinforcing timbers called for in the plans.
Construction continued for two years, while uneasy relations between the three Clans continued, and skeletal ships began to take place in the coastal shipyards. Strange ships built in an alien style, with elongated hulls and delicate woodwork compared to the stout Wolf Clan traditions. Only then did Lotus warlocks arrive and begin to take charge of certain aspects of the shipbuilding.
Runes were laid into the keels and main timbers of each craft, first carved into the wood and then inlaid with a silvery metal brought down in carts from the High Plateau. At night the warlocks would return and carry out some further inscription or treatment, which outsiders were not allowed to see.
A month after the spellcasting began, more wagons arrived from the plateau, bearing a dozen sealed trunks that the men handled with the utmost delicacy. The following day, one of these was carried to the ship farthest along in construction, and opened to reveal for the first time the heart of the warships of the Great Fleet. It appeared to be a violet gem of monstrous size, carved in many facets. Some who looked too long into it spoke of a darkness glimpsed in the translucent depths of the thing, even under the bright sun at noon. None were allowed to touch the thing they lowered it with chains and straps to fit into the hollow at the center of the craft, a space now lined with ornate runes, and padded clamps of the same silvery metal, into which the monstrous gem fit precisely. Over the next week, each of the twelve ships was fitted with its own gem in the same manner.
Warlocks and master warlocks now came and went throughout the shipyard, and labor intensified. Each day, some magical ritual would take place or some inscription would be added to a ship in progress, a complex binding focused on both the gem and on a small platform affixed to the stern of each ship where the captain would stand. Lean, white-haired men in robes would stand chanting or debating with one another about the occult nuances involved.
At the same time, however, something began to go wrong in the worker camps. There was some kind of plague or problem among the Wolf Clan laborers. It began with a general weakness, and a complaint that everything seemed to “smell wrong.” Disturbingly, it would surface among groups of workers who had done work on the same ship on a given day. In a few cases it would pass off, but most of the time it would grow progressively worse, until the afflicted would be unable to work or even stand. The worst cases were among those who had dealt closely with the gems themselves. There was a story going around that a worker had actually slipped and touched the surface of one of the great gems, and died instantly. In seconds his body become dust and simply dispersed.
At this stage, the Lotus overseers would transfer them to special camps set up at a distance from the main shipyards, and new workers would be brought in from the mines to replace them. There were complaints, of course. An emissary from the Wolf Clan even reached Lord Oja himself, to beg for help, some investigation, a cleansing of the camps. But he met with no sympathy. Such outbreaks were common, especially among groups of workers living in close quarters. Construction continued apace.
Three months after the first sickness was reported, however, one of the diseased workers returned from the camp. He had escaped and staggered the two miles back to the main worker barracks. He had been a tall man of legendary strength, but not even his close friends recognized him at first. He told a horrifying tale of what was happening. The workers who had been transferred away, he said, were not getting better, nor did the guards there even seek to treat them. The diseased men simply wasted away in their beds, without ever developing more specific symptoms. On death, their bodies were simply mummified husks.
"They bring us there to die. It is not a disease at all, my friends, it is Lotus magic. It is these black sorcerous ships themselves. Somehow they are killing us. Look at them!” He pointed back towards the shipyards, and even at this distance they could all see the faint purple glow emitted by the gems at night.
Panic spread. The men of the Wolf Clan had never been slow to action, and panic swiftly became rage. Workers seized axes, hammers, even slabs of wood, and stormed the guard barracks in a confused, chaotic mass. The response from the Serpent and Lotus Clan guards was quick and lethal, as they had been prepared for just this kind of undisciplined mob. However, ultimately the confusion served the rioting workers well. A fire broke out, and men were diverted to keep it from reaching the ships.
Amid all this, a few Wolf Clansmen escaped into the mountains, and ultimately were able to carry word to their brothers in the mines, that the Lotus policy of enslavement had become one of genocide. Four days later, listening to the panting messenger telling the story in whispers in the back of a squalid barracks, Grayback nodded in comprehension. If they wished to free themselves, they would have to do it, not years from now, but in the next few months.
Grayback was not the only one with informants in the shipyards. There were many ears present there, some of them loyal to the Serpent as well as the Wolf. Lord Oja heard the story as well, and understood something of what had happened.
He had never trusted the Lotus as his father once had. The terrible life-draining effect the Wolf Clansman had described was one of the hallmarks of Lotus magic. He saw a frightening possibility opening up before him. Lord Oja had planned to put his whole military strength aboard that fleet to sail north, all the Serpent Clan's armies, where they would inevitably have been claimed by the ship's horrible cargo. With those lost, and the Lotus Clan free of the corruption they had sent out to sea, nothing would stop Lord Zymeth from dominating the entire continent. Only a day later a Lotus Clan messenger brought word of minor setbacks in construction, but made no mention of the true nature of the disaster. Lord Oja pondered, and the more he thought, the less happy he became.
Neither the Serpent nor the Lotus Clans were prepared for war. In the long peacetime, borders had been left unwatched and undefended. Over the next few days, moving swiftly Lord Oja contacted the lesser lords and had them put men in place at the borders, repair their walls and guard towers, and prepare themselves for what could be a prolonged, desperate conflict. He didn't want a war, but he had to be ready to defend against a more direct assault.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:53 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | NekoEater Admin
จำนวนข้อความ : 267 37 Registration date : 15/07/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Dec 18, 2008 10:41 pm | |
| สำรองไว้ให้ บทที่ 12
Chapter 12: A Hero Returns
If the Lords Oja and Zymeth were unready for war, Grayback wasn't. From the moment he heard of Lord Zymeth's betrayal, Grayback saw the Wolf Clan's chance. Over thirty years, he had been building for this moment. Since his cousin Brighteye's death in an avalanche, Grayback had stealthily taken control of the Wolf Clan's fortunes, training his people, making them strong and maintaining their identity.
And he had spent just as much effort restraining them, making them patient. They were a warlike people. Men like Longtooth, a lesser chief in the Whiteshard mine, had to be counseled over and over against rising in undisciplined revolt and letting out the great secret the Wolf Clan were still a proud people, beaten but not broken. There were a few minor flare-ups, even in Grayback's own mine, but nothing truly dangerous. They would only get one real chance to win their freedom failure would mean death for them all.
However, Grayback knew they would never have a better chance at the prize than the current crisis. He knew his messengers had reached Lord Oja, when all along the Shaleback, Serpent Clan garrisons were pulled back toward Serpentholm and the lowlands. No one noticed when a few supplies and mining tools went missing, or lights burned late in the Wolf Clan barracks.
Lord Oja was returning from an inspection of the Fertile Valley when the news came to him of the Wolf Clan uprising. A dozen ragged soldiers and messengers had straggled in that day from the mining country, each bewildered with a similar story to tell. Two nights ago, as the moon rose all along the Shaleback, a sound had rung out an unearthly croon, a howl. The men who oversaw mining operations were not unfamiliar with late-night festivals and ceremonies. But that night it sounded as every single slave had joined in, and there was a note of anger they had not heard before.
No one could give a clear account of the night that followed, just confused impressions of violence and horror. Slaves hurled themselves at the armed Serpent garrisons with nothing but their fists or stones. Fortified positions broke apart with mining equipment by huge men heedless of the arrows that cut them down as they worked. Something, perhaps a pack of huge wolves, emerging from the forestlands to tear trained soldiers apart with their claws. Strangest of all, a manlike thing called the Shale Lord that fought alongside the slaves, a stone man that their weapons could not hurt.
The barbaric uprising was astonishingly tightly planned and coordinated. It was obvious that whoever planned this had waited for a time when the Serpent and Lotus Clans were wary of each other and forgetful of their slaves. Carefully chosen access roads have been cut off by avalanches, and the most defensible mines had been the hardest hit. In most places casualties on both sides were horrific, and blood pooled in the stony quarries and spattered the shale cliffs. But the Serpent and Lotus guardsmen could not possibly prevail against men who were fighting for the existence of their people most broke and ran, and of those a few escaped the mountains.
A few garrisons were reported as holding out, groups of terrified men barricaded into the mines, but these had most likely already fallen by the time word reached Oja. This was confirmed when another messenger arrived the following day, a Wolf Clansman riding in barbaric splendor. Five men only, huge warriors armed with what had once been mining implements but were now only too clearly weapons of war hammers and clubs and metal balls on chains. Speaking in a rough miners' dialect, but with dignity, they informed Lord Oja that the Shaleback mines and all the lands his great-grandfather Tarrant the Builder had originally granted to the Wolves, were now reclaimed under the Chief known as Grayback. This Grayback offered him neither friendship nor war at this time, but demanded only recognition and fair treatment.
He also laid out the full truth of the disasters in the shipbuilding camp, a confession extracted at great cost directly from a Lotus Warlock (it was never revealed how this was done, what might have frightened or compelled such a man. The druids had been involved). Lord Oja’s worst suspicions had been true. The Great Fleet had not been built to return, but to use the life energy of its passengers to subdue the corruption that would be contained within the terrible gems, the entire corruption of the Lotus Clan. Freed of that curse, with the Serpent Clan’s warriors gone, nothing could have stopped Lord Zymeth from claiming all the Clans as his slaves.
This event ushered in the new political age, in which no Clan trusted the others, and no Lord had supremacy. An age of fitful border clashes and raids, sporadic trade, and shifting borders this was the time in which Lord Oja's sons, Yukio and Kenji, came of age.
Yukio was handsome and proud, every inch the Lord's son and heir apparent. He appeared with Lord Oja on state occasions, and even rode with patrols and raiding parties. He excelled in swordsmanship, archery and horsemanship, and trained with the greatest teachers in the land, scarred veterans of half a century of unrest. He also sat with Lord Oja on the counsels, learning to rule as his father did through strength and fear. Several times he was sent away from Serpentholm to spend six months serving under one of his father's lords, Otomo or Shinja or Garrin, to understand their methods and successes.
Kenji was quieter and less apt to be noticed, as befitted the younger son, but fiercely competitive in his own way. They were only two years apart in age, and they trained together constantly. Indeed, Kenji seemed to live for the days when he would score a touch against Yukio with a wicker training sword, or outpace his brother on horseback. Neither Yukio nor Lord Oja seemed to pay him much attention, and perhaps Kenji preferred it that way. During the many hours when Yukio would be attending a ceremonial appearance with their father, Kenji practice alone, holding obscure, agonizingly difficult fighting stances or loosing shafts at an archery butt until his fingers bled and his left arm ached.
As Kenji grew older, he began to argue more frequently with his father. Once, he even interrupted his father with a question during a public meeting, an unthinkable slight that got him sent away to study with the Lords Shinja and Otomo for a year, learning the methods and philosophy of each. When he returned, he seemed even more determined to cause disruption. Some nights he spent in the inns and bathhouses speaking with the peasants, poachers, and common swordsman, listening to their opinions and learning their ways. He was neither lazy nor dissolute. He spent just as many late nights in the ancient archives at Serpentholm, reading the few remaining scrolls from before the coming of the Horde, scrolls that taught the legends and traditions of the Dragon Clan, now almost forgotten.
Kenji's clashes with his father became more frequent and public and more strident. Soon his brother Yukio would have no more to do with him, siding with his father on every issue and calling him disloyal and useless. Rumors spread about this break, and were amplified in the telling. Half the realm had heard they had fought a duel and that Kenji openly spoke against his brother. Lord Oja was more tolerant, although only barely.
Late one evening, Kenji went to visit his father to ask him about a recent court decision. Such visits were not uncommon. What happened next confirmed everyone's worst suspicions. The guards outside Lord Oja's chambers heard a gasp, and rushed in to find Kenji standing over his father's body with a knife in his hand. The Serpent Clan leader was dead, brutally stabbed. The conclusion was obvious. In either a premeditated killing or an argument carried too far, Kenji had slain his father. Before the guards could rush to arrest him, Kenji seized a weapon and escaped. Despite a massive manhunt, Kenji was never found.
Yukio lost no time in taking control of the Serpent Clan, but he proved to have no gift for statecraft. Where his father had used his power carefully and masterfully, keeping order through fear and shows of strength, Yukio used it foolishly to vent his anger and irritation. Within two years, he had been killed in a clash with one of his own lords as he tried to confiscate the man's lands. As Yukio was burning the man's fields, his horse panicked and threw him badly. Yukio, the heir of Tarrant the Elder who had saved the clan so long ago, lay in a muddy streambed, his skull crushed by a stone.
This event led to perhaps the most difficult crisis since the coming of the Horde. For the first time, the realm had no heir; the line of descent from the lords of the Dragon Clan had been broken. To the north and west were the other Clans, perhaps waiting for just this sort of weakness to tip the balance of power in their favor. Swiftly, the lords Otomo and Shinja moved to maintain order, each in their characteristic style, Shinja through strength and cunning, Otomo through honor, loyalty and fairness. Both men were capable, even brilliant, and for the next five years the borders remained secure, the realm survived.
As each year passed, however, it became clear that the Serpent Clan needed a single leader to make them strong again. The fate of the Clan that had survived the Horde and the Breaking of the World was now in the balance. Perhaps there would be civil war, as Shinja and Otomo found their differences increasingly stressful. Perhaps the Wolf Clan would take brutal vengeance for their years of captivity. Maybe Lord Zymeth would sweep down out of the mountains with unearthly power, and the Serpent Clan would be wiped from the earth.
Many wondered what had become of Kenji, whether he had truly escaped and where he was now in the long difficult years since Lord Oja's death. For a while there would be occasional rumors, telling of his death or of his deeds in a far land. However, no one could tell the truth of them, and soon the stories stopped. But after seven years had passed, the talk began again, word of a lone traveler who had been seen going under the name of Kenji. Word spread that in these troubled times, at the eleventh hour, Kenji had returned. But where he had been all this time, and what sort of man he really was, no one could say.
แก้ไขล่าสุดโดย killugon เมื่อ Thu Jun 23, 2011 9:54 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง | |
| | | The Muteki
จำนวนข้อความ : 800 Location : 222/98 Job/hobbies : student Humor : .... Clan : Serpent Clan Registration date : 15/09/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Fri Dec 26, 2008 7:54 pm | |
| โอ้เรื่องยาวซะด้วย จะติดตามครับ | |
| | | steviegear
จำนวนข้อความ : 11 Location : fgfg Job/hobbies : dfgdfgdfg Humor : dfgdff Clan : Dragon Clan Registration date : 11/01/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sun Jan 11, 2009 4:00 pm | |
| ท่าทางจะยาวเป็นหางไส้เดือน | |
| | | The Muteki
จำนวนข้อความ : 800 Location : 222/98 Job/hobbies : student Humor : .... Clan : Serpent Clan Registration date : 15/09/2008
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Thu Jan 15, 2009 5:29 pm | |
| ใส้เดือนหางมันไม่น่าอ่านงี้หรอกครับ | |
| | | Sunshine
จำนวนข้อความ : 2 Location : Thai Job/hobbies : Student Humor : Ahh Registration date : 17/01/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sat Jan 17, 2009 3:10 pm | |
| คอยติดตามนะคะย่าสนใจมากๆ *0* | |
| | | Tonao
จำนวนข้อความ : 27 Location : wmp Job/hobbies : dsds Humor : sds Registration date : 24/01/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sat Jan 24, 2009 4:02 pm | |
| | |
| | | MeeLP
จำนวนข้อความ : 8 Location : BKK,Thailand Clan : Dragon Clan, Registration date : 24/01/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sun Jan 25, 2009 8:03 am | |
| | |
| | | dokapon
จำนวนข้อความ : 5 Location : bangkok Registration date : 27/01/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Tue Jan 27, 2009 4:18 pm | |
| | |
| | | Rapyoo
จำนวนข้อความ : 11 Location : Bangkok Job/hobbies : Read Humor : ??? Clan : Lotus Registration date : 13/02/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Fri Feb 13, 2009 9:49 pm | |
| | |
| | | big87
จำนวนข้อความ : 4 Location : 1390/31 soi changmung Job/hobbies : reading Humor : fun Clan : Serpent Clan,Lotus Clan Registration date : 15/02/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sun Feb 15, 2009 11:14 pm | |
| | |
| | | ibik
จำนวนข้อความ : 5 Location : asd Job/hobbies : asd Humor : asd Clan : Dragon Clan Registration date : 21/02/2009
| เรื่อง: Re: เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม Sat Feb 21, 2009 3:01 pm | |
| | |
| | | | เนื้อเรื่อง Battle Realms ก่อนสงคราม | |
|
Similar topics | |
|
| Permissions in this forum: | คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
| |
| |
| |